สีสันภายในห้องเป็นหนึ่งปัจจัยที่จะช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย สนุกสนาน รวมถึงการตกแต่งห้องให้เป็นไปตามแบบสไตล์ที่คุณต้องการ รวมถึงจะเป็นตัวช่วยกำหนดในการเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ที่เหมาะสมได้ง่ายขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นถ้าหากเลือกสีให้เหมาะสม ก็จะช่วยเพิ่มความสุขให้กับการใช้ชีวิตในบ้านได้ เช่นห้องนอนถ้าเลือกสีที่เหมาะสม ก็จะช่วยให้นอนหลับง่าย นอนหลับสบาย นอนหลับได้เต็มอิ่ม ตื่นเช้าขึ้นมารู้สึกเบิกบาน พร้อมที่จะออกไปทำงานได้อย่างสดใส สีทาภายในห้องนอนยังสามารถบ่งบอกถึงอารมณ์ และสะท้อนบุคลิกภาพของเจ้าของห้องได้เป็นอย่างดี ดังนั้นการเลือกสีตกแต่งห้องจึงมีความสำคัญอย่างมาก วันนี้จะมาแนะนำเทคนิคการเลือกสีตกแต่งห้องเพื่อให้ได้นำไปเลือกใช้กันเลย
1. สีขาว
ความธรรมดาของสีขาว เป็นสีมาตรฐานที่คิดอะไรไม่ออกก็บอกสีขาว แต่จริงๆแล้ว สีขาวเป็นได้มากกว่าสีมาตรฐาน เพราะสีขาวจะช่วยให้ห้องดูกว้างขึ้น ทำให้รู้สึกปลอดโปร่ง ไม่อึดอัด ความสว่างของสีขาวจะช่วยให้การมองเห็นภายในห้องของเราดีขึ้นด้วย ยิ่งถ้าในเวลากลางวันไม่จำเป็นต้องเปิดไฟเพียงเปิดหน้าต่างก็สามารถทำให้ห้องสว่างเพียงพอที่จะทำให้เราทำกิจกรรมต่างๆ ได้แล้ว
2. สีดำ
เอาใจสำหรับใครที่ชอบความเข้มขรึม เพิ่มความมีสไตล์ให้กับเจ้าของห้องได้เป็นอย่างดี ทั้งยังมาพร้อมกับความสงบ ทำให้รู้สึกเหมือนได้พักผ่อนมากขึ้นแต่ข้อเสียที่สำคัญเลยของการแต่งห้องนอนเป็นสีดำก็คือ เวลาที่สภาพจิตใจเราหม่นหมอง การอยู่ในห้องนอนสีดำ หรือสีที่เข้มๆหม่นๆ จะยิ่งกดทับความรู้สึกของเราให้เศร้าหนักมากยิ่งขึ้น ดังนั้นควรจะมีการตัดอารมณ์เพิ่มสีอื่นๆลงไปเพื่อไม่ให้ห้องนั้นดำจนเกินไป
3. สีเบจ
เป็นอีกสียอดฮิตในช่วงนี้ สำหรับคนที่ต้องการหลีกเลี่ยงสีขาวและสีดำในการตกแต่งคอนโด เนื่องจากให้อารมณ์สุดโต่งเกินไป สีเบจถือเป็นอีกสีหนึ่งที่คุณต้องเก็บไว้ในลิสต์และไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด เพราะสีเบจ หรือแม้แต่สีครีมและสีน้ำตาลอ่อนก็เป็นโทนสีที่ช่วยสร้างความอบอุ่นและน่าอยู่ให้กับคอนโดขนาดเล็กได้ ยิ่งไปกว่านั้นสีโทนนี้ยังเข้ากันได้ดีกับทุกสี ทุกแนว เรียกได้ว่าแค่ทาสีผนังเป็นสีเบจ ก็สามารถตกแต่งห้องต่อได้ทุกสไตล์ ไม่ว่าโมเดิร์น วินเทจ หรืออื่น ๆ อีกมากมายก็เอาอยู่
4. จับคู่โทนสีที่อยู่ในโทนเดียวกันหรือให้ความรู้สึกที่คล้ายๆ กัน
หลายคนอาจจะไม่ชอบที่จะใช้ 2 ในการตกแต่งห้อง แต่การเลือก 2 สีที่มีโทนเดียวกันหรือให้ความรู้สึกที่คล้ายกันจะช่วยเพิ่มสีสันให้กับห้องมากยิ่งขึ้น เช่น แต่งห้องแบบน่ารัก หวานๆ อาจจะเลือกใช้เป็นโทนสีพาสเทล อย่าง ชมพูอ่อน ฟ้าอ่อน และนำ สีเทาอ่อนเข้ามาตัด เพื่อไม่ให้ดูหวานจนเกินไป เป็นต้น แต่สิ่งสำคัญสำหรับารใช้ 2 สี คือไม่ควรใช้สีมากเกินไป เพราะไม่ได้ให้ความสวยงามแล้วยังทำให้ตาลายได้อีกด้วย อาจจะใช้หลักการไล่เฉดสีเข้ม – อ่อน เข้ามาแทน ตัดด้วยโทนสีอื่นๆ สัก 1 – 2 สี เท่านี้ก็เพียงพอ
5. ใช้ทฤษฎีทาสี 60:30:10
โดยหลักการของ 60:30:10 นั้น มีรากมาจากทฤษฎีการออกแบบตกแต่งภายใน โดยแนวคิดนี้จะแบ่งสีออกเป็น 3 ช่วง โดย 60% เป็นสีหลัก, 30% เป็นสีรอง ส่วนอีก 10% เป็นสีไฮไลท์
- สีหลัก 60% จะเป็นสีของผนังรอบๆ ห้อง หรือบน เฟอร์นิเจอร์ชิ้นที่ใหญ่ที่สุดภายในห้อง โดยเลือกใช้สีในโทนกลาง (ขาว เทา ดำ) หรือสีพื้น สำหรับใช้ในการตกแต่ง
- สีรอง 30% สีนี้จะช่วยเติมเต็มคู่สีภายในห้องให้ดูน่าสนใจมากขึ้น เคล็ดลับที่ง่ายที่สุดที่จะใช้สี 30% นี้ ให้ใช้ไปที่ โซฟา พรมปูพื้น หรือ ผ้าม่าน เป็นต้น
- สีไฮไลท์ 10% การเพิ่มสีไฮไลท์เข้าไปด้วย จะช่วยเสริมให้ห้องดูโดดเด่นมากขึ้นเป็นพิเศษ ใช้สีไฮไลท์นี้กับหมอนอิงบนโซฟา ของตกแต่งบนผนัง โคมไฟ หรือ แจกัน เป็นต้น ทั้งนี้อาจลองเลือกใช้วัสดุที่มีลักษณะมันเงา เช่น โลหะ จะช่วยเพิ่มความสนุกสนานให้กับห้องได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตามการเลือกสีก็ไม่ได้มีเทคนิคที่ตายตัว เพราะการเลือกสีก็ขึ้นอยู่กับรสนิยมและความชื่นชอบของเจ้าของห้องเองเป็นหลัก รวมไปถึงการเลือกสีจากฮวงจุ้ย หรือสีที่ถูกโฉลกก็ได้ ดังนั้นในการเลือกสีก็ควรจะเริ่มจากที่ตนเองชอบแล้วลองออกแบบด้วยตัวคุณเอง แล้วจึงค่อยๆปรับเปลี่ยนจนได้ในแบบที่คุณต้องการ